Powered By Blogger

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คาถาไก่เถื่อน

สวัสดีครับลูกศิษย์และท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผม อ.เอก ธนกร สำนักสักยันต์ปู่ฤาษี108  ได้นำบทความดีๆมาให้ท่านรู้จักวิชาอันโด่งดังในสมัยก่อนที่ได้ชื่อว่าดีทั้งเมตตามหาเสน่ห์และคงกระพันธ์ชาตี

คาถาไก่เถื่อน
สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน)

สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร ทรงมีประรามเดิมว่า สุก ประสูติเมื่อวันศุกร์ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 ตรงกับวันศุกร์ ที่ มกราคม พุทธศักราช 2276 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ พระองค์ทรงเป็นชาวกรุงเก่า ไม่ปรากฏพระนามบิดามารดา

เด็กชายสุกมาอยู่ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์ของท่านตั้งแต่อายุ 12-13 จนล่วงเลยมาหลายปีอายุท่านก็จะย่างเข้า 20-21 ปี บิดา-มารดา ปละพระอาจารย์ของท่าน เห็นว่าท่านสมควรที่จะบรรพชา-อุปสมบทได้ อีกทั้งท่านต้องการที่จะอุปสมบท เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา

ครั้งนั้นท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดอรัญวาสีที่เป็นวัดหลวงแห่งหนึ่ง ในที่บางแห่งได้บันทึกไว้ว่าท่านอุปสมบทที่วัดโรงธรรม เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้นามทางพระพุทธศาสนาว่าญาณสังวโรภิกขุ อุปสมบทแล้วจึงกลับมาอยู่วัดเดิมกับพระอาจารย์ของท่าน โดยพระอาจารย์ของท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์

เมื่อถึงคราวออกธุดงค์ ท่านก็ได้ธุดงค์ไปกับอาจารย์ของท่านอีกเช่นเคย จนกระทั้งสิ้นบุญอาจารย์ท่าน ต่อมาท่านก็ได้ออกธุดงค์เดี่ยวด้วยจิตใจที่กล้าแข็งมุ่งมั่น บางครั้งไปพบอาจารย์ในระหว่างทาง ท่านก็ตามอาจารย์นั้นไปเรียนวิชาเพิ่มเติม ถ้าได้ข่างที่ไหนมีอาจารย์ดีๆ พระองค์ท่านก็จะดั้นด้นไปผากเรียนวิชา มีทั้งวิชากรรมฐาน วิชาสูญทกลา-จันทกลา วิธีเดินจิตรักษาตัวเอง รวมทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาญาณโลกุตร 19 รวมทั้งวิชาทำธาตุ

บางครั้งพระองค์ท่านก็ไปจำพรรษาวัดต่างเมือง 1 ปี บ้าง 1 เดือนบ้าง จึงกลับมาวัดเดิม ในตำนานกล่าวไว้ว่าท่านเคยไปศึกษาเล่าเรียนพระกรรมฐานเพิ่มเติมที่ วัดกุฎีดาว อันเป็นวัดอรัญวาสีของกรุงศรีอยุธยา ท่านยังเคยได้ธุดงค์ไปประเทศราช เช่น ลาวเขมร โดยเฉพาะทางเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน อันเป็นเมืองประเทศราช และที่เมืองลำพูนนี้เองท่านได้พบของดีอย่างหนึ่งดังจะได้กล่าวต่อไป

รุกขมูลเมืองเหนือพบพระคาถาไก่เถื่อน

ในปีต่อมา เมื่ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้ไปธุดงค์อีกเช่นเคย ครั้งนี้ท่านต้องการไปทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองฝ่ายเหนือนั้นบางคราวก็อยู่ในอำนาจของพม่า บางคราวก็อยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ฉะนั้นบ้าน วัดในหัวเมืองเหนือจึงเต็มไปด้วยบ้านร้าง วัดร้าง เมืองเป็นป่า ป่าเป็นเมืองวัดเป็นป่า ป่าเป็นวัด พระที่ธุดงค์ไปทาเหนือ จะต้องมีวิชาแก่กล้าถึงจะไปไกลๆได้โดยไม่มีอันตราย

แต่ในครั้งนั้นหัวเมือง ผ่ายเหนือตกอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระอาจารย์สุกไป ครั้งนั้นไปปักกลดตามป่าบ้าง วัดร้างบ้าง วันหนึ่งท่านเดินมาที่วัดร้างในป่าแห่งหนึ่ง ณ เมืองลำพูน เมื่อมาถึงท่านก็ได้เดินสำรวจที่สำหรับปักกลดมาถึงที่แห่งหนึ่ง พบแผ่นหินแผ่นหนึ่งท่านจึงปักกลดที่ข้างแผ่นหินนั้น พอตกเวลากลางคืนเงียบสงัดท่านก็เข้าที่ภาวนา

เมื่อท่านภาวนาอยู่นั้น ท่านก็ได้เห็นนิมิตเป็นอักษรขอมโบราณ พอรุ่งเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตกลับมาฉันเรียบร้อยแล้วท่านจึงรวบมุ้งกลด จึงใช้สมาธิมองไปที่แผ่นหินนั้น ท่านก็เห็นอักษรอยู่ใต้หินแผ่นหิน ท่านจึงหงายแผ่นหินขึ้นพบอักษรภาษาขอมเป็นคาถา 16 ตัว

ท่านจึงท่องจำพระคาถานั้นให้ขึ้นใจแล้วท่านจึงพัก ณ ที่นั้นอีกหนึ่งคืน กลางดึกคืนนั้นท่านก็นั่งเข้าที่ภาวนาพระคาถานั้น จึงทราบว่า คาถานี้ คือ คาถา "ไก่เถื่อน" รุ่งเช้าอีกวันฉันอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็นั่งภาวนาอีก สักครู่ก็มีไก่ป่า จำนวนมากมารุมล้อมท่าน ท่านจึงรู้ว่าคาถานี่ดีทางด้านเมตตา และสามารถเรียกได้ต่างๆ พระคาถามีความดังนี้

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว

ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา

สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา

กุตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

หลวงปู่สุกท่านถอนกลดเดินทางในป่านั้น เดินไปเรื่อยๆ จนใกล้ค่ำ จึงปักกลด ตกกลางคืนก็เข้าที่ภาวนา พอเช้าฉันบิณฑบาตแล้ว ตอนสายแก่ๆ ท่านก็ภาวนา พระคาถาไก่เถื่อนอีก คราวนี้มีไก่ป่ามามากมายหลายสายพันธุ์มารุมล้อมท่าน บางตัวก็ขึ้นไปยืนบนเข้าท่านทั้งสองข้าง ท่านจึงทราบว่า เป็นคาถาที่ทำให้ไก่ป่าเชื่องได้ ปละเป็นคาถาที่ใช้สร้างสมในทางเมตตาบารมี

ต่อมาเมื่อท่านไปปักกลดที่ไหนเพียงนึกถึงไก่ป่าเท่านั้น ยังมิได้ภาวนาพระคาถาไก่เถื่อน ก็มีไก่ป่ามารุมล้อมตัวท่านแล้ว นับได้ว่าท่านได้สำเร็จเมตตาบารมีไปอีกขั้นหนึ่ง แล้ว ไก่ป่านี้เป็นสัตว์ที่เชื่องคนยากมาก เมื่อเห็นคนหรือได้กลิ่นมนุษย์ ก็จะบินหนีหลบซ่อนทันที โดยที่คนไม่ทันได้เห็นตัวมัน

ดังจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับไก่ป่า ในนิราศธารทองแดง ในพระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ กล่าวถึงไก่ป่าไว้ว่า

ไก่ป่าเจ้าเสียงเตี้ย
เห็นคนก่นวิ่งบิน
ไก่ป่าขันเจี่อยแจ้ว
ลูกเมียเขี่ยหากิน
เห็นคนก่นวิ่งบิน
ซอกซอนซ่อนตัวเร้น
พาลูกเมียเขี่ยหากิน
เข็นเร็นรอกซอกซอนหาย

กลางดิน
กกเหล้น
ถาบตื่น
พุ่มไม้สูญหาย

[size=3] ด้วยเหตุที่หลวงปู่สุก พระองค์ท่านอบรมบารมีมาในเมตตา และเมื่อพระองค์ท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้ว พระคาถานี้จึงเรียกว่า พระคาถาพระยาไก่เถื่อน ตั้งแต่นั้นมา ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น คาถาไก่เถื่อนนี้เป็นคาถาที่สร้างสม ในทางเมตตาบารมี

แต่มีที่มาที่กล่าวไว้ในหนังสือ พระประวัติและพระนิพนธ์ สมเด็จพระอริยวงศาญาณฯ สังฆราชสุก ไก่เถื่อน ญาณสังวร ของนายสุเชาวน์ พลอยชุม ได้เขียนไว้ว่า
"หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบได้ในขณะนี้ คือ จารึกที่ฐานพระพุทธรูป "พระเจ้าล้านทอง" ที่เมืองพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จารึกโดยพระติกขปัญญาเถระ ปละพระพลปัญญาเถระ เมื่อ พ.ศ. 2069 พระคาถานี้ในทางภาคเหนือเรียกกันว่า พระคาถาไก่แก้วกุกลูก และหลักฐานอื่นๆ เกี่ยวกับคาถาไก่เถื่อนนั้นมาในชั้นหลังของสมเด็จพระสังฆราชสุก เสียส่วนมาก"

เมื่อหลวงปู่สุกออกป่า และได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ในป่าเขา ท่านก็ได้รอดพ้นมาด้วยพระคาถาไก่เถื่อนนี้ คนในสมัยนั้นเรียกพระคาถานี้ว่า เป็นพระคาถาที่เกิดจากอกหลวงปู่สุก หมายถึง เกิดจากการปฏิบัติธรรม ยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีการใช้ และสรรพคุณ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนพระธรรมดังนี้

๑. พระคาถาไก่เถื่อนนี้ผู้ใดภาวนาได้ 3 เดือน ทุกๆวันอย่าได้ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญาดังพระพุทธโฆษาจารย์
๒. แม้สวดเทศนาร้องหรือพูดจาสิ่งใดให้สวดเสีย สามที่ มีตบะเดชะนัก
๓. แม้สวดได้ถึงเจ็ดเดือนอาจสามารถรู้ใจคน
๔. ถ้าสวดได้ครบ 1 ปี มีตบะเดชะนัก ทรงธรรมรู้ยิ่งกว่าคนทั้งหลาย
๕. แม้จะเดินทางไกลให้สวด 8 ทีเป็นสวัสดีแก่คนทั้งหลาย

๖. ให้เสกหินเสกแร่ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายเข้าปล้นสะดมมิได้ ผีร้ายมิกล้าเข้ามาในเขตบ้าน คร้ามกลัวยิ่งนัก คนเดินไปถูกเข้าก็ล้มลงแล แพ้อำนาจแก่เรา
๗.ให้เขียนอักขระนี้ลงเป็นยันต์ประสาท ลงด้วยเงินก็ดี ทองก็ดี เอาพระคาถานี้เสก 3 คาบไปเทศนาดีนักเป็นเมตตาแก่คนทั้งหลายให้เขียนยันต์ประสาทนี้ไว้กันเรือน กันโจรภัย อันตรายทั้งหลาย

๘. เสกปูน ใส่บาดแผลและฝีดีนัก
๙. เสกน้ำมันงาใส่กระดูกหัก
๑๐. เสกเมล็ดข้าวปลูกงอกงามดีนัก
๑๑. เสกน้ำมนต์พรมของกำนัลไปให้ขุนนางท้าวพระยา รักเราแล
๑๒. เสกหมาก เมี่ยงทางเมตตา
๑๓. ต้องยาแฝด ต้องภัยอันตรายต่างๆก็ดี ให้เสกส้มป่อยหายสิ้นแล
๑๔. พระคาถานี้ผู้ใดทรงไว้มีปัญญามาก

ขอบคุณที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=18.0

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิชาเรียกน้ำมันงาเข้าตัว(คงกระพันชาตรี)

วิชาเรียกน้ำมันงาเข้าตัว(คงกระพันชาตรี) สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมอาจารย์เอก ธนกร วันนี้ผมจะเล่าเรื่องวิชา "วิชาเรียกน้ำมันงาเข้าตัว" เป็นวิชาสายนี้ สามารถทำให้เป็นคงกระพันชาตรีได้ เมตตาได้ มหาอำนาจได้ สุดแล้วแต่ผู้ปลุกเสกจะให้เป็นวิชาอะไร การที่ผมบอกว่าอยู่ที่ผู้ปลุกเสกนั้นหมายถึงการวางอารมณ์และคาถาในการปลุกเสกให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่จะใช้งาน
>>>การเรียกน้ำมันงาเข้าตัวนั้นมี2วิธีใหญ่ๆ วิธีที่1 ขั้นง่าย(เด็กๆก็ทำได้) นำน้ำมันงามาปลุกเสกแล้วทาตัวหรือคลึงช้าๆบนฝ่ามือให้น้ำมันค่อยๆซึมเข้าสู่ตัวและฝ่ามือ วิธีที่2 ขั้นเทพ(ยากมาก) เทน้ำมันใส่ในขันสัมฤทธิ์วางลงบนหน้าอก(นอนภาวนา) แล้วท่องบนคาถาไปจนกว่าน้ำมันจะหายเข้าสู่ตัวหมด >>>>ขั้นตอนในการเรียกน้ำมันเข้าตัว 1.ให้จุดธุปเทียนบูชาพระพุทธ แล้วอาราธนาศีล5 ชุมนุมเทวดา 2.นำน้ำมันงา วางด้านหน้าพระพุทธ แล้วท่องคาถาด้านล่างนะครับ >>>คาถาเรียกน้ำมันงาเข้าตัว 1.เสริมทางคงกระพันธ์ ท่องว่า นะมะพะทะ จะภะกะสะ สะกะภะจะ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้กล้าหาญ) 2.เสริมทางคงกระพันธ์ ท่องว่า นะกะนะกะ นะพะสะสุ สะสุ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้กล้าหาญ) 3.เสริมทางคงกระพันธ์ ท่องว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง กันอันตรายะ อิติคงกระพันธ์ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้กล้าหาญ) 4.เสริมทางเสน่ห์ ท่องว่า โอมศรีๆ เมตตาเห็นหน้าเอ็นดูด้วย นะโมพุทธายะ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้เมตตา คิดว่าเราหล่อ เราสวยแบบสุดๆ)
5.เสริมทางเสน่ห์ ท่องว่า อิทะคะมะ อิธิเจ ตะโส คันหาหิ ทามะสา สัตถาเทวะ มึงเห็นหน้ากูทุกคน สานัง พุทโธภะคะวาติ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้เมตตา คิดว่าเราหล่อ เราสวยแบบสุดๆ) 6.เสริมทางมหาอำนาจ ท่องว่า ตมัตถังปกาเสนโต ตัวกูชื่อว่า พญาราชะสีห์โห สัตถาอาหะ ไกรสรราชสีห์ วิยะ อิมัง คะถะมาหะ (เวลาท่องทำอารามรณ์ให้ดุๆ คิดว่าเรามีอำนาจคนเห็นเราต้องเกรงใจ) วันนี้หวังว่าทุกท่านจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ อย่ารู้เรื่องอะไรถามมานะครั้บ

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คงกระพันชาตรี ๖ ประเภท

คงกระพันชาตรี ๖ ประเภท **(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผู้ศึกษาและทดลองเองจึงรู้เองเท่านั้น) สวัสดีครับลูกศิษย์ทุกคน วันนี้เรายู่อยู่ในเรื่องของ "คงกระพันชาตรี " ว่า วิชาไสยศาสตร์ที่ทำให้พ้น อันตรายจากอาวุธนั้นแบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ
วิชาคงกระพัน .....เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น ...............๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน ...............๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก ...............๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น .....การเรียกประกายเหล็กเข้าตัวนี้มีกรรมวิธีที่พิศดารมาก คือ ให้นำเหล็ก ที่มีประกายเวลากระเทาะหินมานั่งับไว้ตรงรูทวารหนัก หลังจากนั้นจึงบริกรรม คาถาเรียกประกายเหล็กเข้าตัวทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปให้นำเหล็กกระเทาะหินดู หากหินนั้นมีประกายอยู่ให้บริกรรมต่อไป หากหินนั้นหมดประกายแล้วก็แสดงว่า ประกายเหล็กถูกเรียกเข้าตัวหมดแล้ว วิชาชาตรี .....เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้ วิชาแคล้วคลาด .....เป็นวิชาที่ทำให้อันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นหลีกเลี่ยงไป และแม้จะถูกทำร้ายซึ่งหน้าก็ดี อาวุธนั้นก็จะมีเหตุให้บังเอิญพลาดเป้าไป มีทั้งการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด และคาถาอาคม วิชานี้รวมถึง วิชาพรหม 4 หน้า ที่นักมวยคาดเชือกใช้บริกรรมเพื่อให้คู่ต่อสู้ชกไม่ถูกเพราะเห็นเป็นหลายหน้าด้วย วิชามหาอุด .....เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย
วิชาแต่งคน .....วิชานี้แม่ทัพนายกองในสมัยโบราณใช้คุ้มกันทหารในกองทัพ มักนิยมเสกน้ำมัน ใช้ปูนป้ายลูกกระเดือก หรือเสกหมากให้กินก็ได้ วิชาล่องหนหายตัว .....วิชานี้กล่าวว่าเมื่อผู้ฝึกถึงขั้นจะสามารถ กำบังตนและพาหนะไม่ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้ *ซึ่งยังมีวิชาปลีกย่อยอีกมากมายในตำราพิชัยสงครามที่อาจจัดเข้าหมวดหมู่ที่จัดไว้หรือแยกไปตากหาก เช่น สมานแผล เป็นต้น การอยู่คงกระพันชาตรีตามที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนต์ทำให้เป็นไป แต่ยังมีสิ่งที่อยู่คงได้โดยไม่ต้องใช้คาถา เราเรียกของจำพวกนี้ว่า"ทนสิทธิ์"ได้แก่พวกคต แร่ เขี้ยว งา และว่านยาทั้งปวง ที่มีคุณสมบัติทำให้อยู่คงได้ ซึ่งการอยู่คงนี้มีหลายประการนัก นอกจากที่กว่าวมาแล้วท่านยังจำแนกการอยู่คงไว้ดังนี้ "บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพรว่าน บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์ บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพรชนิล ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนศาสตรา"
การอยู่คงด้วยว่านและยานั้น เฉพาะพวกที่อยู่คงด้วยยานั้น ก็ได้แก่พรรณไม้ที่เป็นเครื่องยาต่างๆ บางทีก็ใช้รากยานั้นมาเสกเช่น รากว่านเถ้าหนังแห้ง กลิ้งกลางดง หนุมารนั่งแท่น รากหางนกกระลิง รากตำเลีย รากกระเช้าผีมด รากพระยายา รากมะตูมหรือเช่นบรเพ็ด ไพร ขมิ้น เหล่านี้เอามาเสกเข้าแล้วจึงกินไป ทำให้เนื้อหนังอยู่คง ส่วนคาถาที่เสกนั้นก็ให้ไช้ตามบทคาถาที่วางไว้ในคำภีร์ต่างๆ ว่าไว้ดังนี้ เสกไพร "อะระหังคารัง เพชคังคารัง อะระหังจังเหล็ก เพชคังจังเหล็ก อะระหังตรีเพชชคงคง" เสกขมิ้น "กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถ พุทธังคงทรหด ตใจหนัง ธัมมังคงทรหดมังสังเนื้อ สังฆังคงทรหดอัตถิกระดูก อิสวาสุคงคง ตรีเพชชคงคง" เสกบอระเพ็ด "นะอิเพชชคงอรหังสุคโตภควา โมติพุทธะสังเพชชคงอรหังสุคโตภควา พุทปิอิสวาสุเพชชคงอรหังสุคโตภควา ธาโสมะอะอุเพชชคงอรหังสุคโตภควา ยะภะอุอะมะเพชชคงอรหังสุคโตภควา "


สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าลูกศฺษย์และทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ คงจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อย ถ้าท่านมีความสนใจอยากรู้เรื่องอะไร ขอให้บอกผม ผมจะมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกัน

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิชาเสกใบพลู

สวัสดีครับลูกศิษย์ทุกท่าน วันนี้เป็นวันหยุดสำนักเปิดสักยันต์ดูดวงตามปกตินะครับ

วันนี้เสนอบทความเรื่อง วิชาเสกใบพลู

วิชาคงกระพันอีกอย่างหนึ่งคือการเสกใบไม้กิน การเริ่มเรียนให้เสกใบพลูก่อนใช้ใบพลูหนึ่งใบ ลำดับการทดลองและการจัดเครื่องบูชาค่าบูชาครู และอื่นๆ ทำเหมือนการเสกปูน แต่ให้ใช้ใบพลูแทนปูน ใช้คาถา " เทาะฬ่อ " อ่านว่า เทาะล่อ

>>>ขณะทำวิชาคงกระพันธ์ทุกชนิดต้องทำใจกล้าหาญ<<<

วิธีการเสกใบพลู
เชื่อมั่นในตนเองและคำสอนที่กล่าวไว้ น้อมใจเคารพคุณพระทั้ง ๕ อันได้แก่ พระพุท พระธรรม พระสงฆ์ บิด-มารดา ครูบาอาจารย์แล้วกราบ จุดธูป เทียนบูชา อธิษฐาน คืออัญเชิญให้คุณพระมาช่วยในการเสกใบพลู ท่อง นะโมฯ สามจบ แล้วสูดลมเข้าพอสบาย และอัดลมไว้ภาวนาคาถา และนึกภาพที่จะเสกไว้ตลอดเวลา ปลายลมแล้วให้เป่าลมออกทางปากเบาๆ ยาวๆ ไปยังของที่เสกคือใบพลู ขณะเป่าลมออกก็ภาวนาคาถาไปด้วย ภาวนาคาถาตลอดเวลา
เอาใบพลูมาวางไว้ในฝ่ามือที่พนมอยู่ ยกมือที่พนมอยู่นั้นไว้ห่างจากปากประมาณ ๑ คืบ คือให้ใบพลูอยู่ห่างจากปาก ๑ คืบนั่นเอง ใบพลูวางแบนตามฝ่ามือ จะมีใบพลูโผล่ออกมาจากฝ่ามือบ้างก็ได้ นึกภาพใบพลูไว้ตลอดเวลา และภาวนาคาถา "เทาะฬ่อ" ไว้ทั้งเวลาอัดลมหายใจไว้ และในเวลาเป่าลมออกทางปากเป่าให้ได้ประมาณ ๗ ครั้งเหมือนกันเสร็จแล้วก็เอาใบพลูนั้นพับเคี้ยวกลืนลงไปหมด ขณะเคี้ยวใบพลูกินนั้นให้หายใจเข้าและอัดลมหายใจไว้ ภาวนา "เทาะฬ่อ" ไปด้วยเคี้ยว ใบพลูไปด้วย เมื่อกลืนหมดแล้วสักครู่ก็ทดลองแทงดูได้ เวลาทดลองแทงก็อยู่ในจังหวะอัดลมหายใจไว้และภาวนา คาถา "เทาะฬ่อ" โดยภาวนาให้เร็วให้ถี่ขึ้น


****การทดลองนี้มีวิธีการดูว่า การเสกใบพลูของเรานั้นใช้ได้หรือยัง โบราณท่านให้ ลองเคี้ยวใบพลูดูว่าก่อนเสกรสชาติอย่างไร รอผ่านไปอีก1ชั่วโมงหรือ1วัน ค่อยทำการเสกใบพลูเมื่อเสกใบพลูแล้วถ้าเคี้ยวแล้วมีรสเปรี้ยวถือว่าใช้ได้ลองได้เลย***

วิชานี้ผมอ.เอก ธนกร และอ.อิท พิชิตชัย เรียนมาจากหลวงพ่อจอมเทพปราณีแห่งวันนินสุขาราม

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิชาปูนคาดคอ

วิชาปูนคาดคอ

         สวัสดีครับลูกศิษย์ทุกคน วันนี้อาจารย์ เอก ธนกร เปิดกรรมพลิกดวง     (สำนักสักยันต์ตำหนักปู่ฤาษี108) จะเล่าเรื่อง  "วิชาปูนคาดคอ"  โบราณท่านว่าเป็นวิชาแต่งคนคุ้มพล(เป็นวิชาที่แม่ทัพสมัยโบราณ์ใช้เสกปูนแล้วแบ่งให้ทหารใต้การบังคับบัญชาไ
ปออกรบ เพื่อคุ้มครองชีวิตให้อยู่ยงคงกระพันธ์) วิชานี้ท่านว่า  เสกปูน 1 ครั้ง คุ้มครองไป7คน   วิชานี้ผม อ.เอก และอ.อิท เรียนมาจากหลวงพ่อจอมเทพปราณี แห่งวัดนินสุขาราม

>>>สอนวิชาคงกระพัน<<<
คาถาปูนคาดคอสุดยอดคงกระพัน

               "อุนุยัง อุนุยัง อุนุยัง อุนุยัง"

         เป็นคาถาปูนคาดคอที่มีคติความเชื่อว่าผู้ที่คาดปูนนี้จะอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียวทนต่อ "คมหอกคมดาบ" และยังสามารถนำไปถ่ายทอดต่อได้อีก ๗ คน ซึ่งจะทำให้มีความอยู่ยงคงกระพันเฉกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้มีคติความเชื่อด้วยว่า "หากจะคุ้มครองทุกขณะ จะต้องเสกปูนคาดคอ ทุกค่ำเช้า วันละสองครั้ง และจะต้องทำจนกว่า จะครบ ๕ ปี ถึงจะไม่ต้องเสกปูนคาดคอแล้ว จะคงกระพันอยู่ตัว"

>>>ขั้นตอนการทำวิชนี้ให้ขลัง<<<
๑. เตรียมดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน  ดอกไม้กล้วยไม้สีม่วง1กำ สีขาว1กำ   ธูป ๓ ดอก เทียนจำนวน ๒ เล่ม  หาปูนที่กินกับหมากไว้เล็กน้อย (ใช้ปูนที่ไม่ใส่สีเสียด) เอาเงินบูชาครูใส่ในพานดอกไม้ธูปเทียน ๖ บาท เมื่อเสร็จพิธีแล้วเอาเงิน ๖ บาทนี้ไปทำบุญทำทาน

๒. จุดธูปเทียนบูชาพระ โดยจุดธูปเทียนแล้ว กราบพระ ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า แล้วจึงกราบ ครั้งที่ ๒ ตั้งใจเคารพพระธรรม ครั้งที่ ๓ ตั้งใจเคารพพระสงฆ์ ครั้งที่ ๔ ตั้งใจเคารพบิดามารดาของตนและกราบลงไป แล้วตั้งใจเคารพครูอาจารย์ กราบลงครั้งที่ ๕ หลวงปู่จันทร์และหลวงพ่อจอมเทพปราณี

๓. เอาปลายนิ้วชี้ไปแตะปูนให้ปูนติดอยู่ปลายนิ้ว แล้วนั่งพนมมือในท่านั่งพับเพียบหรือท่านั่งขัดสมาธิก็ได้ ยกมือที่พนมมาไว้ใกล้ปากให้ปลายนิ้วชี้ที่มีปูนติดมาอยู่ห่างปากประมาณ ๑ คืบ ทดลองเป่าลมออกจากปากเบาๆ ยาวๆ ไปที่ปูน ถ้าลมที่เป่านั้นไม่ตรงปูน ที่ปลายนิ้วชี้ ก็เลื่อนมือให้ลมที่เป่านั้นตรงไปที่ปูนพอดีต่อไปให้หลับตา นั่งนิ่งไม่ขยับมือไม่ขยับหน้าไม่ลืมตา ตั้งใจว่าในใจ ดังต่อไปนี้

ข้าพเจ้าขออัญเชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอาจารย์ ขอให้มาช่วยเสกปูนนี้ ให้เป็นปูนคงกระพันด้วยเถิด”

“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะ”


๔. สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วอัดลมไว้ ไม่หายใจเข้าไม่หายใจออกจิตนึกถึงภาพปูนที่นิ้วชี้ตลอดเวลาภาวนาคาถา  "อุนุยัง"  ตลอดเวลา เมื่อภาวนาไปจนถึงปลายลม คือ ประมาณ 3 นาที แล้วให้เป่าลมออกทางปากเบาๆ ยาวๆ เป่าไปที่ปูน การภาวนาให้มีความสม่ำเสมอไม่ใช่เร็วบ้างช้าบ้าง ขณะเป่าก็ภาวนาคาถาและนึกถึงภาพปูนอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป่าไปที่ปูนได้ประมาณ 3นาทีแล้ว ให้เอาปลายนิ้วชี้ที่มีปูนติดอยู่แตะปลายลิ้น  ชิมดูว่าปูนนั้นรสชาติเป็นอย่างไร รู้สึกจืด รู้สึกเค็ม รู้สึกหวาน หรือรู้สึกขม รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็แสดงว่าอำนาจจิตได้ส่งไปที่ปูนมากพอแล้ว จึงทำให้รสของปูนเปลี่ยนไปได้ ถ้าเป็นปูนธรรมดาไม่ได้เสก เอามาแตะที่ลิ้นจะกัดลิ้นมีอาการแสบและรู้สึกเหมือนของมีคมกรีด ปูนที่เสกได้ดีแล้ว เวลาแตะลิ้นรสจะเปลี่ยนไปแปลกๆ หรือรู้สึกเฉยๆ รู้สึกเย็นๆ บางทีก็มีแสบบ้างเล็กน้อยก็ใช้ได้ ปูนยังกัดลิ้นรู้สึกแสบมากต้องเสกใหม่ ทำซํ้าอย่างที่เคยทำจนใช้การได้ไม่กัดลิ้น

ต่อไปหายใจเข้าอัดลมไว้เอานิ้วชี้ที่มีปูนติดแตะไว้ ข้างคอ ภาวนาคาถา ๑ จบว่า “อุนุยัง” พร้อมกับลากนิ้วชี้ข้ามคอมาอีกด้านหนึ่งเรียกว่าเอาปูนคาดคอ ลากนิ้วมายาวประมาณ ๑ นิ้วหรือ ๒ นิ้ว ก็ได้ให้ข้ามกึ่งกลางคอมาอีกทางหนึ่ง ทำดังนี้แล้วก็เป็นอันว่าทำให้คงกระพัน เสร็จแล้ว จะทดลองฟันหรือแทงดูก็ได้ แต่เนื่องจากวิชาคงกระพันทำให้หนังเหนียวป้องกันการเจ็บการชํ้ายังไม่ได้ ต้องเป็นวิชาชาตรีจึงไม่เจ็บไม่ช้ำเมื่อสมาธิดีคือถึงขั้นกลาง จึงเรียนวิชาชาตรีได้ ดังนั้นเวลาทดลองให้ดึงหนังที่แขนซ้ายระหว่างข้อศอกถึงข้อมือออกมาให้หนังที่แขนยืดออก มาแล้วเอามีดปลายแหลมกดลงที่หนังเตรียมทดลอง แทง คือ ให้ปลายมีดแตะหนังไว้ เตรียมกดด้ามมีดลงแรงๆ

ก่อนจะกดปลายมีดลง ให้สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด อัดลมหายใจไว้ ภาวนาคาถาบทที่ ๑ ซึ่งมีสามคำ ภาวนาได้ประมาณ ๗ จบ ก็เริ่มกดมีดลงไปได้ ขณะที่เริ่มกดมีดลงไปก็ภาวนาคาถาไว้เรื่อยๆ ภาวนา ให้ถี่คือเร็วขึ้นจะช่วยให้เจ็บน้อยภาวนาไปได้อีกประมาณ ๙ จบ ก็ให้เลิกกดมีดลงไปให้ยกมีดขึ้นการดึงหนังที่แขน จะให้ผู้อื่นช่วยดึงให้ก็ได้

นี้คือวิชาปูนคาดคอที่แม่ทัพนายกองสมาัยก่อนและนักเลงนิยมใช้กันมากเพราะเชื่อว่าอยู่ยงคงกระพันธ์ดี  หวังว่าลูกศิษย์ทุกคนจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อย  แต่เหนื่อสิ่งอื่นใดคือต้องเป็นคนดี เพราะของดีจะอยู่กับคนดี

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิชาพรหมหลงโลก (วิชาสายหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราชบำรุง )

วิชาพรหมหลงโลก (วิชาสายหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราชบำรุง )
สวัสดีครับลูกศิษย์ทุกๆท่าน วันนี้ผม อ.เอก ธนกร  เปิดกรรมพลิกดวง วันนี้ผมมีเรื่องราวของวิชาเมตตาชั้นสูงวิชาหนึ่ง ชื่อวิชาว่า "พรหมหลงโลก" มาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกัน
>>>มีมาของวิชา "พรหมหลงโลก (เริ่มต้นจากวิชานะปถมัง)<<<

[ " เริ่มแรกเมื่อครั้งต้นปฐมกัป โลกนี้ยังเป็นที่ว่างเปล่าอยู่ พื้นแผ่นดินยังเพิ่งจะงวดจากน้ำ เริ่มจะเกิดเป็นพื้นดินขึ้นมา ท้าวสหัมบดีพรหมได้เล็งญาณลงมาแลเห็นดอกบัวโผล่พ้นระลอกน้ำขึ้นมา ๕ ดอก ก็ทราบด้วยญาณว่าในกัปนี้จะบังเกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ เป็นกำเนิดแห่งภัทรกัปอันประเสริฐยิ่ง แล้วจึงได้หยิบหญ้าคาทิ้งลงมาบนพื้นน้ำ น้ำนั้นก็งวดเป็นแผ่นดินขึ้น มีกลิ่นหอม เหล่าพรหมได้กลิ่นง้วนดินต่างลงมาเสพกิน ติดรสง้วนดินนั้นมิอาจกลับคืนสู่พรหมโลกได้ จึงได้ตั้งรกรากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สืบมาจนทุกวันนี้ ฉะนั้นก่อนจะเล่าเรียนคัมภีร์ปถมังจึงต้องกล่าวคำนมัสการสหัมบดีพรหมดังนี้
" โองการพินทุนาถังอุปปันนัง พรหมาสหัมปตินามะ อาทิกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปทุมมังทิสวา นะโมพุทธายะวันทะนัง" ]
จึงถือได้ว่าวิชานี้เป็นวิชาชั้นสูง เพราะขนาดพระพรหมผู้ที่อิ่มทิพย์ไม่ต้องกินอาหารแล้วท่านยังอดใจไว้ไม่อยู่ต้องลงมากินงวนดินบนโลกนี้ แล้วนับภาษาอะไรกับชายและหญิง ผู้เป็นมนุษย์เดินดินมีกิเลส
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน คุณพ่อของผมเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราชบำรุง ผมเองได้เห็นหลวงพ่อสร้อยตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนกระทั้งผมโตขึ้นมาเรียนช่างกล ในช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงที่กำลังโตเป็นหนุ่มก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความรัก
ผมเองก็เคยแอบคุณพ่อไปสักยันต์ แต่สักเป็นน้ำมัน แต่คุณพ่อก็รู้และพูดว่า มึง!!!ไปแอบสักมาหรอ!!!มึงพยายามอย่าไปให้ใครเค้าสักให้นะ!!! เพราะหลวงพ่อสร้อยเค้าเขียนหัวเขียนหลังลงยันต์ไว้ให้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วพ่อของผมก็พาไปหาหลวงปู่สร้อยให้หลวงปู่เขียนยันต์ให้ แต่ช่วงนั้นหลวงพ่อสร้อยเริ่มป่วยหนัก หลวงพ่อสร้อยเลยบอกให้ไปหาพระอาจารย์อู๊ด ลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อ( พระครูสุวรรณประภัสสร อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บำรุง จ.สุพรรณบุรี ปัจจุบันมรณะแล้ว) ซึ่งในปีนั้นพระอาจารย์อู๊ดท่านได้มาช่วงหลวงพ่อสร้อยรับแขกช่วงไล่ผีแก้คุณไสย์ ส่วนการดูดวงตกเป็นหน้าที่ของพระอาจารย์มหาประเสริฐ อัตตสาโร (ศิษย์เอกของหลวงพ่อสร้อยด้านการดูดวง)
ผมก็ได้เไปใช้พระอาจารย์อู๊ดท่านลงยันต์พรหมหลงโลกให้พอลงเสร็จก็ได้ลองวิชาเลย เพราะในวันนั้นที่วัดมีงานวัดพอดี ผมเห็นลูกแม่ค้าขายน้ำสวยเลยเข้าไปจีบ ก่อนเดินเข้าไปก็อธิฐานว่า ขอให้วิชาพรหมหลงโลกที่ได้ลงไปในวันนี้ จงช่วยให้ข้าพเจ้าจีบผู้หญิงคนนี้ติด แล้วมันก็น่าประหลาดใจเพราะว่าพอเราเดินไปชวนคุยน้องเค้าดูมีใจให้เราทั้งที่มีคนมาเชิงจีบๆเค้าเยอะ!!! ในวันนั้นจึงขอเบอร์โทรและคุยกันจนในที่สุดก็คบกันเป็นแฟนอยู่ช่วงหนึ่งตามภาษาเด็กวัยรุ่น
วิชานี้ผมเชื่อถือมากเพราะตั้งแต่เรียนวิชามายังไม่ได้เห็นว่ามีที่ไหนเค้าใช้วิชานี้ ถือได้ว่าเป็นวิชาเอกสายหลวงพ่อสร้อย วัดราษฎร์บำรุง ที่ผมได้เรียนจาก พระอาจารย์อู๊ด ลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อ( พระครูสุวรรณประภัสสร อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บำรุง จ.สุพรรณบุรี ปัจจุบันมรณะแล้ว)
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณที่ทุกท่านติดตามอ่านและให้ความสนใจ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรส่งมาถามกันได้นะครับยินดีต้อนรับทุกท่าน

คาถาพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ

คาถาพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ
สวัสดีครับคุณลูกศิษย์และท่านผู้อ่านทุกท่าน เข้ามาอ่านแล้วแสดงความคิดเห็นบ้างก็ได้นะครับ วันนี้ผมมีเรื่องเล่า เรื่อง พระาคาถาพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ
ท่องนะโม3จบ แล้วท่องพระคาถาว่า
สัตถา ธะนุง อากัฑฒิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ อะสิสัตตติ ธะนูเจวะสัพเพเตอาวุธานิจะ ภัคคะภัคคาวิจุณณานิ โสมังมาเม
นะผุสสันติ
>>>>>พระคาถาบทนี้มีที่มาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา พบว่าคาถานี้ มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท (พระไตรปิฎก เล่ม 25) เรื่อง นายพรานกุกกุฏมิตร <<<<<
สรุปเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดที่มาของคาถาพระเจ้าห้ามอาวุธ ก็คือวันหนึ่ง นายพรานกุกกุฏมิตรไปดักบ่วงไว้ แต่ไม่มีสัตว์มาติดบ่วงเลยแม้ตัวเดียว พบแต่รอยเท้าที่พระพุทธเจ้าทรงประทับไว้ ก็หงุดหงิดโมโห เข้าใจว่าพระพุทธเจ้านี่เองที่เป็นคนปล่อยสัตว์ออกจากบ่วงหมด ก็เลยโก่งธนูขึ้นเพื่อจะยิงพระพุทธเจ้า แต่ด้วยพุทธานุภาพ เขาก็ทำได้แค่ง้างธนูเท่านั้น ไม่สามารถจะยิงธนูได้เลย แม้พวกลูกๆ ของนายพรานที่แม่ (เมียของนายพราน) ส่งมาตามหานายพราน พอมาเห็นพระพุทธเจ้าก็ง้างธนูจะยิงเหมือนกัน แต่ก็ทำได้แค่นั้น จึงเป็นอันว่าทั้งนายพรานและลูก ก็ยืนง้างธนูค้างอยู่อย่างนั้น .........
(แต่สุดท้าย ทั้งหมดก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า)
พระคาถาบทนี้ครูบาอาจารย์และเกจิอาจารย์รุ่นเก่านิยมจัดสร้างเป็นตระกรุดพกติดกาย เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองชีวิตให้รอดพ้นจากอาวุธทั้งปวง
ผมมีเรื่องเล่าของหลวงพ่อสร้อย ธมฺมรโสวัดเลียบราษฎร์บำรุง พ่อผมเคยเล่าให่้ฟัวว่าสมัยหลวงพ่อสร้อยยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อท่านเป็นพระเขมรที่มีชื่อเสียงโด่งดังว่าหลวงพ่อสร้อยท่านเก่งดูดวงแม่นแก้คุณไสยศาสตร์ไล่ผี มีญาณหยั่งรู้อนาคต ที่สำคัญที่ให้หวยแม่นก่อนวันหวยออกคนจะมาแน่นวัดเลย ยิ่งช่วงที่ท่านกำลังสรา้งโบสถช่วงนั้นท่านให้หวยแม่นจนญาติโยมจากทั่วทุกสารทิศหลังไหลมาทำบุญและมีโชคกันไปตามๆกัน จนเจ้ามือต้องลงขันจ้างมือปืนมายิ่งหลวงพ่อสร้อย
>>วันหนึ่งที่มือปืนมาดักยังหลวงพ่อสร้อย<<
วันหนึ่งขณะหลวงพ่อสร้อยท่านกำลังเดินตรวจงานการก่อสรา้งที่โบสถ มือปืนขี่มอเตอรไซรมากัน2คน พร้อมตะโกนเรียก " หลวงพ่อสร้อย" พอหลวงพ่อสร้อยหันมามือปืนมันก็ยิง จากนั้น หลวงพ่อสร้อยท่านก็ไม่ได้หลบหนี้แต่อย่างใด แถมยังยกมือกวักเรียกให้ยิ่งมาๆ ปืนยังออกหลายนัดแต่ก็ไม่โดนตัวเลย มือปือนกลัวเลยรีบหลบหนีไป ไม่นานบรรดาตำรวจก็รีบเร่งสืบสวนจับตัวได้ในที่สุด เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อสร้อย ท่านมีลูกศิษย์เป็นนายตำรวจนายทหารยศใหญ่ๆมากมาย พร้อมกับลูกศิษย์ที่เป็นนักการเมืองก็มากเช่นกัน เรื่องนี้สุดท้ายตำรวจรวบตัวได้ และมือปืนสารภาพว่า รับจ้างจากเจ้ามือหวย
คาถาที่หลวงพ่อสร้อยท่านใช้ทางด้านป้องกันภัยจากอาวุธ คือ
สะ เส นะ อุ อะ คะ สะ อะ นิ ทะ สะ นะ อะ ปะ ติ ฆา อิ สวา สุ

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ยันต์พลิกชะตาฟ้า-พลิกชะตาดิน

        สวัสดีครับลูกศิษย์ตำหนักปู่ฤาษี108 ทุกท่าน วันนี้ผมอ.เอก ธนกร เปิดกรรมพลิกดวง เอาความรู้เรื่อง " ยันต์พลิกชะตาฟ้า-พลิกชะตาดิน " มาให้ทุกท่านได้รู้ความหมายกันว่าทำไมเราถึงควรสักยันต์นี้ไว้กับตัวเรา!!!
         ยันต์พลิกชะตาฟ้า-ชะตาดินนี้ มีที่มาตามหลักวิชาโหราศา
สตร์และไสยศาสตร์ ตามหลักวิชาพิชัยสงคราม อันประกอบไปด้วยเรื่องราวของดวงดาว ทิศทาง ฤกษ์ยาม นามศาสตร์ ชัยภูมิ คาถาอาคม และอาถรรพ์

     1. ยันต์พลิกชะตาฟ้า 
         ยันต์นี้มีที่มาและมีความหมาย ดังนี้1.วงในสุด ผังตัวเลข 1-9 ในตาราง อันนี้มีที่มาจากวิชาโหราศาสตร์  ชื่อว่า ตำรามหาทักษา หรือทักษาวิชา โบราณให้ความเคารพและถือเป็น 1 ในตำราพิชัยสงครามที่พระมหากษัตริย์และแม่ทัพต้องเรียนรู้ เอาไว้เพื่อปกป้องบ้านเมือง  วิชานี้มีการศึกษากันมากในแถบประเทศไทย พม่า ลาว เขมร อินเดีย จีน   วิชาเค้าใช้ทำอะไรกับผมจะเล่าให้ฟังนะครับ

ตามหลักวิชานี้ครูบาอาจารย์ท่านใช้ในการ เลือกอักษรในการตั้งชื่อ เลือกวันมงคล  เลือกสีเสื้อผ้าในวันสำคัญของชีวิต เลือกสีรถ  เลือกหันหัวนอนไปตามทิศมงคล เลือกหน้าบ้านไปตามทิศส่งเสริมตน เลือกพระประจำวันเกิด เลือกสวดคาถาแก้ดวงชะตา  สรุปแล้วเป็นวิชาที่ใช้ตั้งแก่เกิดจนตาย

ตัวเลขต่างๆในยันต์พลิกชะตาฟ้า  มีความหมาย  ในทางโหราศาสตร์มีใช้หลายตำรา ทักษาหมายถึงดาวอัฏฐเคราะห์ ทั้ง 8 ที่มีลำดับการจัดเรียงเฉพาะ คือ พระอาทิตย์(1) พระจันทร์(2) พระอังคาร(3) พระพุธ(4) พระเสาร์(7) พระพฤหัสบดี(5) พระราหู(8) และพระศุกร์(6)

มีตำแหน่ง 8 ภูมิ แต่ละภูมิหรือตำแหน่ง จะมีเรื่องราว ชื่อความหมายความเป็นมงคล อยู่ โดยจัดเรียงลำดับ คือ


บริวาร ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง คนในปกครอง คนในบ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหาย สัตว์เลี้ยง การเกื้อหนุนจุนเจือไม่ขาด บารมี ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความเคารพ น่าเชื่อถือ มีดีมีเด่นในคนหมู่มาก

อายุ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง วิถีความเป็นอยู่ สุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงเบียดเบียน ไม่เครียด กายเป็นสุข ใจเป็นสุข

เดช ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้  ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง

ศรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์สิน บ้าน เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา มีสิริมงคล

มูละ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง ทุนทรัพย์ผล ประโยชน์ หรือมรดก หลักฐานความมั่นคง ทำมาค้าขึ้น มีกำไร ประสบความสำเร็จในเรื่องเงินๆทองๆ


อุตสาหะ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ความขยันหมั่นเพียร ให้เกิดผลสำเร็จ มีมานะอุตสาหะ หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอย  มีความพยายามของตนเอง มีความรับผิดชอบ หัวคิดริเริ่มพยายาม  แรงจูงใจ ทิฐิมานะ การประกอบกิจการค้า การเกษตรกรรม 

มนตรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง การอุปถัมภ์ค้ำชู ส่งเสริม อุปการะ สงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ เจ้านาย และมีผู้ให้การช่วยเหลือ การดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน ครอบครัว ชอบไฝ่รู้

กาลกิณี โชคร้าย อัปมงคล ศัตรูคู่แข่ง คู่อาฆาต อุปสรรค ความยุ่งยาก ติดขัด เสียหาย วุ่นวายในการดำเนินชีวิต ความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีโชคลาภ ห้ามนำอักษรในวรรคกาลกิณี นี้มาตั้งชื่อ และห้ามเลือกทิศที่ปเ็นกาลกิณีในวันนั้นๆทำการมงคล

2.คาถาล้อมยันต์
อักขระ12ตัวอักษร์ที่ล้อมยันต์ตัวเลข เป็นคาถาพุทธะคุณ3ห้อง อันเป็นของวิเศษสุดในโลกนี้ คือ " พระรัตนะตรัย"
พระรัตนตรัย หรือพระไตรรัตน์ หมายถึง แก้วสามประการอันประเสริฐสุดของพุทธศาสนิกชน[1] ที่เรียกว่า รัตน (แก้ว) เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีค่าสูง และหาได้ยาก เทียบด้วยดวงแก้วมณี
พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า, พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเรียกเต็มว่าพุทธรัตนะ, ธรรมรัตนะ, สังฆรัตนะ ซึ่งได้แก่
พระพุทธ คือ ท่านผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง แล้วสอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย, วาจา, ใจ ตามพระธรรมวินัย
พระธรรม คือ พระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์ คือ หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย

3.วงนอกสุดคือ กลีบดอกบัว12กลีบ ดอกบัวเป็นตัวแทนของ คุณงามความดี และมีความหมายถึงบุญฤทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้าทรงนั่งบนรัตนบัลลังก์ของพระองค์ คือ ดอกบัว เจ้าแม่กวนอิมผู้มีเมตตาทรงมีดอกบัวเป็นบัลลังก์
นี่ก็คือความหมายของยันต์ "พลิกชะตาฟ้า" ยันต์นี้เป็นยันต์ที่จะหนุนเสริมปรับแก้ให้เกิดความเป็นมงคลแก่ดวงชะตาของผู้ที่สักยันต์นี้ คาถาที่ควรท่องกันดวงตกคือ
" พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คุ้มตัว หนุนดวงข้าพเจ้า"


2.ยันต์พลิกชะตาดิน

          มีที่มาเหมือนกับยันต์พลิกชะตาฟ้า แต่แตกต่างกันตรงที่ยันต์พลิกชะตาดินนี้ โบราณท่านนำมาใช้สร้างบ้านสร้างเมื่องมุ่งหวังให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยและอยู่เย็นเป็นสุข    โหราจารย์ไทยและจีนนำมาเขียนและปลุกเสกฝังลงในหลุมเสาหลักเมือง และเวลาสร้างวัง สร้างบ้านนิยมฝังลงในหลุมเสาเอก เพื่อเสริมพลังหนุนความมงคลเน้นความร้ำรวยให้กับผู้อยู่อาศัย   

ยันต์พลิกชะตาดิน ยันต์นี้มีความหมายดังนี้
1.วงในสุดตัวเลข1-9 มีความหมายถึง ยันต์จตุโรบังเกิดทรัพย์ และยันต์หลอซู(ผังดาวที่ใช้ดูฮวงจุ้ยจีน) ทั้ง2ยันต์นี้ส่งเสริมความร่ำรวยและความสุขในชีวิตมนุษย์ทั้ง9มุม  เลขในยันต์มีความหมายอันได้แก่ 


เลข4  หมายถึง ทิศตะวันออกเฉียงใต้   มุมการเงิน  สีเขียวอ่อน  ธาตุไม้
เลข9  หมายถึง ทิศใต้   มุมชื่อเสียงและยศ  สีแดง  ธาตุไฟ
เลข2 หมายถึง ทิศตะวันตกเฉียงใต้   มุมความรัก  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข3 หมายถึง ทิศตะวันออก   มุมครอบครัว  สีเขียวแก่  ธาตุไม้
เลข5 หมายถึง ทิศใจกลาง   มุมสุขภาพ  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข7 หมายถึง ทิศตะวันตก   มุมบุตร  สีเงิน  ธาตุทอง
เลข8 หมายถึง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   มุมความรู้  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข1 หมายถึง ทิศเหนือ   มุมการงาน  สีฟ้าน้ำเงิน  ธาตุน้ำ
เลข6 หมายถึง ทิศตะวันตกฌแียงเหนือ   มุมอุปถัมภ์  สีทอง  ธาตุทอง


 และแต่ละตัวเลขมีธาตุแฝงอยู่ที่จะส่งเสริมให้ชีวิตมั่นคง
ยันต์นี้มีกลเลขวางไว้ เมื่อนำเลขในแถวเดียวกันมาบวกกันจะรวมกันได้ 15 ไม่ว่าจะแนวตั้ง หรือ แนวนอน
แนวนอน
4-9-2 เท่ากับ 153-5-7 เท่ากับ 15
8-1-6 เท่ากับ 15

แนวตั้ง
4-3-8 เท่ากับ 15
9-5-1 เท่ากับ 15
2-7-6 เท่ากับ 15
มองเลขตรงข้าม
4-6 เท่ากับ 10
9-1 เท่ากับ 10
2-8 เท่ากับ 10
3-7 เท่ากับ 10

ผังยันต์จัตรุโรบังเกิดทรัพย์และผังหลอซูนี้จะนำไปประยุกต์ใช้ในวิชาฮวงจุ้ยเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า ผังเหอถู คือ ผังธรรมชาติในอุดมคติ ส่วน ผังหลอซู คือ ผังการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และ จักรวาล
แม้แต่ในยันต์โสฬสมงคลก็ยังมียันต์ผังยันต์จัตรุโรบังเกิดทรัพย์และผังหลอซูนี้อยู่ในยันต์เลย ถือว่าเป็นยันต์ที่มีความสำคัญมาก1ยันต์
วงที่2 ล้อมด้วยอักขระ12ตัว คือ คาถาหัวใจธาตุทั้ง4 อันประกอบด้วย แม่ธาตุ4 นะมะพะธะ หัวใจธาตุพระกรณี จะภะกะสะ หัวใจแก้ว4ดวง นะมะอะอุ อันว่าบนโลกนี้เกิดขึ้นด้วยธาตุและดับไปด้วยธาตุ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเป็นอักจระที่จะส่งเสริมความมั่นคง
วงที่3กลีบดอกบัว12กลีบ มีความหมายถึง ความดีงาม บุญฤทธิ์
 ยันต์พลิกชะตาฟ้า พลิกชะตาดิน จึงถือเป็นยันต์นี้ดีทางด้านเสริมความร่ำรวย ปรับฮวงจุ้ยให้ไปอยู่ที่ไหนก็ดี. ปกป้องคุ้มครองชีวิตไม่ให้ตกต่ำ  ยันต์นี้เป็น1ในยันต์ที่โบราณจารฝังใส่ในหลุมเสาหลักเมืองอีกด้วย. และนิยมฝังในหลุมเสาเอกของบ้านด้วย. ถือเป็นยันต์ที่สำคัญมีมาแต่โบราณ  ที่เล่ามาทั้งหมดนี้หวังว่าทุกท่านคงจะได้ประโยชน์ไปไม่มากก็น้อย

ยันต์พลิกชะตาฟ้า-พลิกชะตาดิน

        สวัสดีครับลูกศิษย์ตำหนักปู่ฤาษี108 ทุกท่าน วันนี้ผมอ.เอก ธนกร เปิดกรรมพลิกดวง เอาความรู้เรื่อง " ยันต์พลิกชะตาฟ้า-พลิกชะตาดิน " มาให้ทุกท่านได้รู้ความหมายกันว่าทำไมเราถึงควรสักยันต์นี้ไว้กับตัวเรา!!!
         ยันต์พลิกชะตาฟ้า-ชะตาดินนี้ มีที่มาตามหลักวิชาโหราศา
สตร์และไสยศาสตร์ ตามหลักวิชาพิชัยสงคราม อันประกอบไปด้วยเรื่องราวของดวงดาว ทิศทาง ฤกษ์ยาม นามศาสตร์ ชัยภูมิ คาถาอาคม และอาถรรพ์

     1. ยันต์พลิกชะตาฟ้า 
         ยันต์นี้มีที่มาและมีความหมาย ดังนี้1.วงในสุด ผังตัวเลข 1-9 ในตาราง อันนี้มีที่มาจากวิชาโหราศาสตร์  ชื่อว่า ตำรามหาทักษา หรือทักษาวิชา โบราณให้ความเคารพและถือเป็น 1 ในตำราพิชัยสงครามที่พระมหากษัตริย์และแม่ทัพต้องเรียนรู้ เอาไว้เพื่อปกป้องบ้านเมือง  วิชานี้มีการศึกษากันมากในแถบประเทศไทย พม่า ลาว เขมร อินเดีย จีน   วิชาเค้าใช้ทำอะไรกับผมจะเล่าให้ฟังนะครับ

ตามหลักวิชานี้ครูบาอาจารย์ท่านใช้ในการ เลือกอักษรในการตั้งชื่อ เลือกวันมงคล  เลือกสีเสื้อผ้าในวันสำคัญของชีวิต เลือกสีรถ  เลือกหันหัวนอนไปตามทิศมงคล เลือกหน้าบ้านไปตามทิศส่งเสริมตน เลือกพระประจำวันเกิด เลือกสวดคาถาแก้ดวงชะตา  สรุปแล้วเป็นวิชาที่ใช้ตั้งแก่เกิดจนตาย

ตัวเลขต่างๆในยันต์พลิกชะตาฟ้า  มีความหมาย  ในทางโหราศาสตร์มีใช้หลายตำรา ทักษาหมายถึงดาวอัฏฐเคราะห์ ทั้ง 8 ที่มีลำดับการจัดเรียงเฉพาะ คือ พระอาทิตย์(1) พระจันทร์(2) พระอังคาร(3) พระพุธ(4) พระเสาร์(7) พระพฤหัสบดี(5) พระราหู(8) และพระศุกร์(6)

มีตำแหน่ง 8 ภูมิ แต่ละภูมิหรือตำแหน่ง จะมีเรื่องราว ชื่อความหมายความเป็นมงคล อยู่ โดยจัดเรียงลำดับ คือ


บริวาร ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง คนในปกครอง คนในบ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหาย สัตว์เลี้ยง การเกื้อหนุนจุนเจือไม่ขาด บารมี ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความเคารพ น่าเชื่อถือ มีดีมีเด่นในคนหมู่มาก

อายุ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง วิถีความเป็นอยู่ สุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงเบียดเบียน ไม่เครียด กายเป็นสุข ใจเป็นสุข

เดช ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้  ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง

ศรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์สิน บ้าน เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา มีสิริมงคล

มูละ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง ทุนทรัพย์ผล ประโยชน์ หรือมรดก หลักฐานความมั่นคง ทำมาค้าขึ้น มีกำไร ประสบความสำเร็จในเรื่องเงินๆทองๆ


อุตสาหะ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ความขยันหมั่นเพียร ให้เกิดผลสำเร็จ มีมานะอุตสาหะ หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอย  มีความพยายามของตนเอง มีความรับผิดชอบ หัวคิดริเริ่มพยายาม  แรงจูงใจ ทิฐิมานะ การประกอบกิจการค้า การเกษตรกรรม 

มนตรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง การอุปถัมภ์ค้ำชู ส่งเสริม อุปการะ สงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ เจ้านาย และมีผู้ให้การช่วยเหลือ การดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน ครอบครัว ชอบไฝ่รู้

กาลกิณี โชคร้าย อัปมงคล ศัตรูคู่แข่ง คู่อาฆาต อุปสรรค ความยุ่งยาก ติดขัด เสียหาย วุ่นวายในการดำเนินชีวิต ความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีโชคลาภ ห้ามนำอักษรในวรรคกาลกิณี นี้มาตั้งชื่อ และห้ามเลือกทิศที่ปเ็นกาลกิณีในวันนั้นๆทำการมงคล

2.คาถาล้อมยันต์
อักขระ12ตัวอักษร์ที่ล้อมยันต์ตัวเลข เป็นคาถาพุทธะคุณ3ห้อง อันเป็นของวิเศษสุดในโลกนี้ คือ " พระรัตนะตรัย"
พระรัตนตรัย หรือพระไตรรัตน์ หมายถึง แก้วสามประการอันประเสริฐสุดของพุทธศาสนิกชน[1] ที่เรียกว่า รัตน (แก้ว) เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีค่าสูง และหาได้ยาก เทียบด้วยดวงแก้วมณี
พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า, พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเรียกเต็มว่าพุทธรัตนะ, ธรรมรัตนะ, สังฆรัตนะ ซึ่งได้แก่
พระพุทธ คือ ท่านผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง แล้วสอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย, วาจา, ใจ ตามพระธรรมวินัย
พระธรรม คือ พระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์ คือ หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย

3.วงนอกสุดคือ กลีบดอกบัว12กลีบ ดอกบัวเป็นตัวแทนของ คุณงามความดี และมีความหมายถึงบุญฤทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้าทรงนั่งบนรัตนบัลลังก์ของพระองค์ คือ ดอกบัว เจ้าแม่กวนอิมผู้มีเมตตาทรงมีดอกบัวเป็นบัลลังก์
นี่ก็คือความหมายของยันต์ "พลิกชะตาฟ้า" ยันต์นี้เป็นยันต์ที่จะหนุนเสริมปรับแก้ให้เกิดความเป็นมงคลแก่ดวงชะตาของผู้ที่สักยันต์นี้ คาถาที่ควรท่องกันดวงตกคือ
" พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คุ้มตัว หนุนดวงข้าพเจ้า"


2.ยันต์พลิกชะตาดิน

          มีที่มาเหมือนกับยันต์พลิกชะตาฟ้า แต่แตกต่างกันตรงที่ยันต์พลิกชะตาดินนี้ โบราณท่านนำมาใช้สร้างบ้านสร้างเมื่องมุ่งหวังให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยและอยู่เย็นเป็นสุข    โหราจารย์ไทยและจีนนำมาเขียนและปลุกเสกฝังลงในหลุมเสาหลักเมือง และเวลาสร้างวัง สร้างบ้านนิยมฝังลงในหลุมเสาเอก เพื่อเสริมพลังหนุนความมงคลเน้นความร้ำรวยให้กับผู้อยู่อาศัย   

ยันต์พลิกชะตาดิน ยันต์นี้มีความหมายดังนี้
1.วงในสุดตัวเลข1-9 มีความหมายถึง ยันต์จตุโรบังเกิดทรัพย์ และยันต์หลอซู(ผังดาวที่ใช้ดูฮวงจุ้ยจีน) ทั้ง2ยันต์นี้ส่งเสริมความร่ำรวยและความสุขในชีวิตมนุษย์ทั้ง9มุม  เลขในยันต์มีความหมายอันได้แก่ 


เลข4  หมายถึง ทิศตะวันออกเฉียงใต้   มุมการเงิน  สีเขียวอ่อน  ธาตุไม้
เลข9  หมายถึง ทิศใต้   มุมชื่อเสียงและยศ  สีแดง  ธาตุไฟ
เลข2 หมายถึง ทิศตะวันตกเฉียงใต้   มุมความรัก  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข3 หมายถึง ทิศตะวันออก   มุมครอบครัว  สีเขียวแก่  ธาตุไม้
เลข5 หมายถึง ทิศใจกลาง   มุมสุขภาพ  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข7 หมายถึง ทิศตะวันตก   มุมบุตร  สีเงิน  ธาตุทอง
เลข8 หมายถึง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   มุมความรู้  สีเหลือง,น้ำตาล  ธาตุดิน
เลข1 หมายถึง ทิศเหนือ   มุมการงาน  สีฟ้าน้ำเงิน  ธาตุน้ำ
เลข6 หมายถึง ทิศตะวันตกฌแียงเหนือ   มุมอุปถัมภ์  สีทอง  ธาตุทอง


 และแต่ละตัวเลขมีธาตุแฝงอยู่ที่จะส่งเสริมให้ชีวิตมั่นคง
ยันต์นี้มีกลเลขวางไว้ เมื่อนำเลขในแถวเดียวกันมาบวกกันจะรวมกันได้ 15 ไม่ว่าจะแนวตั้ง หรือ แนวนอน
แนวนอน
4-9-2 เท่ากับ 153-5-7 เท่ากับ 15
8-1-6 เท่ากับ 15

แนวตั้ง
4-3-8 เท่ากับ 15
9-5-1 เท่ากับ 15
2-7-6 เท่ากับ 15
มองเลขตรงข้าม
4-6 เท่ากับ 10
9-1 เท่ากับ 10
2-8 เท่ากับ 10
3-7 เท่ากับ 10

ผังยันต์จัตรุโรบังเกิดทรัพย์และผังหลอซูนี้จะนำไปประยุกต์ใช้ในวิชาฮวงจุ้ยเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า ผังเหอถู คือ ผังธรรมชาติในอุดมคติ ส่วน ผังหลอซู คือ ผังการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และ จักรวาล
แม้แต่ในยันต์โสฬสมงคลก็ยังมียันต์ผังยันต์จัตรุโรบังเกิดทรัพย์และผังหลอซูนี้อยู่ในยันต์เลย ถือว่าเป็นยันต์ที่มีความสำคัญมาก1ยันต์
วงที่2 ล้อมด้วยอักขระ12ตัว คือ คาถาหัวใจธาตุทั้ง4 อันประกอบด้วย แม่ธาตุ4 นะมะพะธะ หัวใจธาตุพระกรณี จะภะกะสะ หัวใจแก้ว4ดวง นะมะอะอุ อันว่าบนโลกนี้เกิดขึ้นด้วยธาตุและดับไปด้วยธาตุ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเป็นอักจระที่จะส่งเสริมความมั่นคง
วงที่3กลีบดอกบัว12กลีบ มีความหมายถึง ความดีงาม บุญฤทธิ์
 ยันต์พลิกชะตาฟ้า พลิกชะตาดิน จึงถือเป็นยันต์นี้ดีทางด้านเสริมความร่ำรวย ปรับฮวงจุ้ยให้ไปอยู่ที่ไหนก็ดี. ปกป้องคุ้มครองชีวิตไม่ให้ตกต่ำ  ยันต์นี้เป็น1ในยันต์ที่โบราณจารฝังใส่ในหลุมเสาหลักเมืองอีกด้วย. และนิยมฝังในหลุมเสาเอกของบ้านด้วย. ถือเป็นยันต์ที่สำคัญมีมาแต่โบราณ  ที่เล่ามาทั้งหมดนี้หวังว่าทุกท่านคงจะได้ประโยชน์ไปไม่มากก็น้อย